ธรรมคุ้มครองโลก

       สัปบุรุษผู้สงบระงับ ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ ตั้งมั่นอยู่ในธรรมขาว ท่านเรียกว่า ผู้มีธรรมของเทวดาในโลก


       มนุษย์ทุกชาติทุกศาสนา ล้วนปรารถนาให้โลกมีสันติสุขที่แท้จริง แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าจะทำอย่างไร จนกระทั่งพระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบว่า วิธีการที่จะทำให้โลกเกิดสันติสุขที่แท้จริงนั้น จะต้องให้ทุกคนในโลกเข้าถึงสันติสุขภายในก่อน คือเข้าถึงพระธรรมกายซึ่งมีอยู่แล้วในตัวของทุกคน ธรรมกายเป็นแหล่งกำเนิดของความสุข เป็นแหล่งของสติและปัญญา เมื่อเข้าถึงแล้วมนุษย์จะมีความคิด คำพูด และการกระทำที่ดี จะมีการแบ่งปันให้แก่กัน แล้วสันติสุขที่แท้จริงก็จะเกิดขึ้นในโลก

      โลกของเรานี้ได้รับการคุ้มครองด้วยธรรม จึงทำให้สังคมมนุษย์มีความสงบสุข ธรรมที่คุ้มครองโลกอยู่นี้ เรียกว่า “หิริ โอตตัปปะ” ดังพุทธพจน์บทหนึ่งว่า

“หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา สุกฺกธมฺมสมาหิตา
สนฺโต สปฺปุริสา โลเก เทวธมฺมาติ วุจฺจเร

       สัปบุรุษผู้สงบระงับ ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ ตั้งมั่นอยู่ในธรรมขาว ท่านเรียกว่า ผู้มีธรรมของเทวดาในโลก”

      หิริ คือ ความละอายที่จะทำความชั่ว โอตตัปปะ คือความกลัวต่อผลของความชั่ว หิริโอตตัปปะนี้เป็นธรรมของผู้มีคุณธรรม ที่จะนำพาเราก้าวไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เพราะผู้จะเป็นเทวดาได้ ต้องมีคุณธรรม คือหิริ โอตตัปปะอยู่ในใจ ท่านจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า“เทวธรรม” คือธรรมที่จะทำให้เราได้เป็นเทวดา อีกทั้งเทวธรรมนี้ คือธรรมคุ้มครองโลก หากคนทั้งโลกมีหิริ โอตตัปปะ ละอายต่อการทำบาปและกลัวต่อผลของบาป ก็จะไม่ทำบาปอกุศล จะตั้งมั่นอยู่ในศีล ๕ มนุษย์ทั้งหลายก็จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สันติภาพของโลกย่อมจะบังเกิดขึ้น เมื่อมนุษย์พากันประพฤติธรรม ธรรมะก็จะคุ้มครองมนุษย์ ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข

       * ในอดีตกาล เคยมีผู้ที่ตามหาเทวธรรมนานถึง ๑๒ ปี เฝ้ารอคอยผู้รู้ที่จะมาบอกว่า เทวธรรม คืออะไร สมัยนั้นพระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพรหมทัตพระนามว่า มหิสสาสกุมาร ทรงมีพระอนุชานามว่า จันทกุมาร พระบรมราชชนนีของพระโอรสทั้งสองได้สวรรคตไป ในขณะที่พระราชโอรสยังทรงพระเยาว์อยู่ พระเจ้าพรหมทัตทรงมีพระมเหสีใหม่ ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ยิ่งนัก เมื่อพระนางให้กำเนิดพระโอรส ทรงขนานพระนามว่า สุริยกุมาร พระเจ้าพรหมทัตได้ประทานพรแก่พระโอรส ครั้นพระราชโอรสเจริญวัยขึ้น พระมเหสีก็กราบทูลขอราชสมบัติ พระองค์จึงจำใจต้องพระราชทานราชสมบัติแก่พระโอรสองค์เล็ก

       พระเจ้าพรหมทัตทรงวิตกกังวลว่า พระนางอาจคิดปองร้ายต่อมหิสสาสกุมารและจันทกุมาร จึงให้โอรสทั้งสองออกจากเมือง ไปแสวงหาที่ปลอดภัยกว่า และสั่งว่าเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว จึงค่อยกลับมาครองราชสมบัติ

       สุริยกุมารขอตามพี่ทั้งสองไปด้วย พระโอรสทั้งสามจึงเดินทางไปด้วยกัน ในระหว่างทางได้ช่วยกันสร้างที่พักอาศัยในที่ร่มรื่นแห่งหนึ่ง สุริยกุมารได้ไปหาน้ำ เมื่อพบแหล่งน้ำแล้ว ก็รีบเดินลงไปตักน้ำ แต่ทว่าสระน้ำนี้ เป็นที่อยู่ของผีเสื้อน้ำตนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในความปกครองของท้าวเวสสุวรรณ ได้มีเทวบัญชาไว้ว่า ห้ามออกไปจับสัตว์หรือมนุษย์กินนอกบริเวณสระน้ำนี้เป็นอันขาด แต่ถ้าผู้ใดลงมาในสระก็ให้จับกินได้ ยกเว้นผู้ที่รู้เทวธรรม ห้ามทำอันตรายเด็ดขาด

       สุริยกุมารถูกผีเสื้อน้ำจับตัวไว้ แล้วถามว่า “เจ้ารู้จักเทวธรรมไหม” สุริยกุมารตอบว่า “เทวธรรมคือ พระจันทร์และพระอาทิตย์” ผีเสื้อน้ำจึงกล่าวว่า “ท่านรู้ไม่จริง” จึงจับสุริยกุมารเอาไปขังในที่อยู่ของตน

       มหิสสาสกุมารเห็นว่าน้องคนเล็กหายไปนาน จึงให้จันทกุมารไปตามหา เมื่อจันทกุมารเดินตามรอยเท้าน้องชายไปถึงสระน้ำ ทันทีที่ก้าวลงไปในน้ำก็ถูกผีเสื้อน้ำจับไว้ และถามเรื่องเทวธรรม จันทกุมารตอบว่า “เทวธรรมคือ ทิศทั้งสี่” ผีเสื้อน้ำก็จับจันทกุมารไปขังรวมไว้กับสุริยกุมาร

       เมื่อจันทกุมารหายไปอีกคน มหิสสาสกุมารจึงออกไปตามน้องทั้งสอง เดินสะกดรอยตามไป จนกระทั่งถึงสระน้ำ สังเกตเห็นรอยเท้าที่น้องทั้งสองเดินลงไป แต่ไม่มีรอยเท้ากลับขึ้นมา จึงรู้ทันทีว่าในสระน้ำนี้ จะต้องมีผีเสื้อน้ำอาศัยอยู่ พระองค์ทรงกระชับพระขรรค์ และถือธนูเตรียมพร้อมไว้ เดินสำรวจดูรอบๆ สระอย่างระมัดระวัง โดยไม่ก้าวเท้าลงไปในสระน้ำ

       ผีเสื้อน้ำคอยสังเกตอยู่ในสระ เมื่อเห็นมหิสสาสกุมารไม่ยอมลงไปในสระ จึงแปลงกายเป็นมนุษย์ เดินเข้าไปหาแล้วแสร้งถามว่า “ท่านคงเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย ทำไมไม่ลงไปดื่มน้ำให้สบายเสียก่อนล่ะ” พระกุมารทรงพิจารณาแล้ว ก็สันนิษฐานได้ทันทีว่า จะต้องเป็นผีเสื้อน้ำแปลงตัวมาแน่ จึงตรัสถามตรงๆ ว่า “เจ้าจับน้องทั้งสองของข้าไปใช่ไหม”

       ถึงแม้ว่าผีเสื้อน้ำจะดุร้ายแต่ก็ไม่โกหก จึงยอมรับว่าใช่ พระกุมารตรัสถามว่า “เจ้าจับมนุษย์กินได้ทุกคนหรือ” ผีเสื้อน้ำตอบว่า “เราจับกินได้ทุกคนยกเว้นแต่ผู้ที่รู้จักเทวธรรมเท่านั้น” พระกุมารจึงบอกว่า “ถ้าท่านอยากรู้เทวธรรม เราก็จะแสดงธรรมให้ฟัง” แล้วประทับนั่งอยู่บนอาสนะที่สูงกว่า กล่าวพระคาถาด้วยพุทธลีลาว่า

      “สัปบุรุษผู้สงบระงับ ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ ตั้งมั่นอยู่ในธรรมขาว ท่านเรียกว่าเป็นผู้มีธรรมของเทวดา”

       เมื่อมหิสสาสกุมารแสดงเทวธรรมจบลง ผีเสื้อน้ำเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระราชกุมาร อยากจะประพฤติธรรมตามที่ได้ฟังทุกประการ แต่ผีเสื้อน้ำนั้นก็ยังอยากกินมนุษย์อยู่ จึงบอกพระกุมารว่า “เราเชื่อแล้วว่าท่านเป็นผู้รู้เทวธรรมจริง เราอนุญาตให้ท่านดื่ม และใช้น้ำในสระนี้ได้ตามใจชอบ แต่จะคืนน้องชายให้ท่านได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะเรายังต้องกินเนื้อมนุษย์เป็นอาหารอยู่ ท่านจะเลือกเอาคนไหนล่ะ”

       มหิสสาสกุมารขอให้คืนน้องชายคนเล็ก ผีเสื้อน้ำจึงกล่าวโทษว่า “ท่านบัณฑิต ท่านรู้จักเทวธรรมก็จริง แต่ท่านไม่ได้ประพฤติตนตามเทวธรรมเลย ทำไมจึงบอกให้ปล่อยน้องคนเล็ก แทนที่จะให้ปล่อยน้องคนโต การกระทำเช่นนี้ ได้ชื่อว่าไม่ให้เกียรติแก่ผู้มีอายุซึ่งมีวัยวุฒิมากกว่า”

       มหิสสาสกุมารอธิบายว่า “เรารู้จักเทวธรรมและประพฤติเทวธรรมด้วย การที่เราต้องเอาน้องคนเล็กกลับไป ก็เพราะน้องคนเล็กไม่ได้เกิดร่วมมารดาเดียวกับเรา และการที่เราต้องมาอยู่ในป่านี้ก็เพราะมารดาของน้องคนนี้ ทูลขอราชสมบัติให้แก่เขา ถ้าเราไม่ได้ตัวเขากลับไป ถึงเราจะพูดความจริงว่าน้องชายคนเล็กถูกยักษ์ในป่าจับกินเสียแล้ว ก็คงไม่มีใครเชื่อ เขาย่อมครหาว่า เราสองคนพี่น้องร่วมมือกันฆ่าน้องคนเล็ก เพราะเห็นแก่ราชสมบัติ เราพิจารณาดีแล้วจึงขอให้คืนน้องคนเล็ก”

       ผีเสื้อน้ำได้ฟังดังนั้น จึงเกิดความเลื่อมใสอย่างแท้จริง กล่าวสรรเสริญว่า “ดีแล้วท่านบัณฑิต ท่านเป็นผู้รู้จักเทวธรรมและประพฤติตามด้วย เราจะคืนน้องของท่านให้ทั้งสองคน” เมื่อได้น้องชายคืนแล้ว มหิสสาสกุมารก็สั่งสอนผีเสื้อน้ำด้วยความกรุณาว่า “ตัวท่านเกิดมากินเลือดกินเนื้อของผู้อื่น ก็เพราะบาปที่สร้างไว้แต่ชาติปางก่อน เดี๋ยวนี้ท่านก็ยังทำบาปอีก จงเลิกเสียเถิด มิฉะนั้น ท่านจะไม่พ้นจากนรกเป็นแน่”

       เมื่อพระราชบิดาเสด็จสวรรคตแล้ว ทั้งสามจึงพากันกลับเข้าเมือง และพาผีเสื้อน้ำไปด้วย จัดที่อยู่และให้อาหารเช่นมนุษย์ ให้ประพฤติธรรมไปจนตลอดชีวิต ส่วนพระโพธิสัตว์ก็เสด็จขึ้นครองราชย์ แล้วตั้งใจสร้างบารมี ปกครองบ้านเมืองโดยธรรม ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมไปจนสิ้นอายุขัย ละโลกแล้วก็ไปเป็นใหญ่ในสุคติโลกสวรรค์

       เราจะเห็นได้ว่า ความสงบสำรวม ไม่ทำบาปอกุศล ตั้งอยู่ในกุศลธรรม เป็นคุณธรรมที่บัณฑิตทั้งหลายประพฤติกันเป็นปกติ เราก็เช่นเดียวกัน ต้องประพฤติตามแบบแผนของบัณฑิตในกาลก่อน ชีวิตจะได้ปลอดภัย ประสบแต่ความเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นให้หมั่นฝึกฝนอบรมตนเอง ดำรงตนให้เป็นผู้มีเทวธรรมประจำใจ ธรรมนี้จะได้ปกป้องคุ้มครองเรา ให้ปลอดจากภัยทั้งในโลกนี้และภัยในสังสารวัฏ และอย่าลืมหมั่นฝึกใจให้หยุดนิ่งตลอดเวลา หยุดนิ่งในทุกอิริยาบถ ทำให้สม่ำเสมอทุกวันอย่าได้ขาด แล้วเราจะได้เข้าไปพบกับกายทิพย์ซึ่งเป็นกายของเทวดา ที่สถิตอยู่ภายในตัวของเรา

       นอกจากประพฤติเทวดาธรรมแล้ว เรายังเข้าถึงกายของเทวดาภายในอีกด้วย และจะให้ดีต้องหยุดในหยุด จนเข้าถึงพระธรรมกายภายในนั่นแหละ เมื่อมีโอกาสได้ศึกษาวิชชาธรรมกายแล้ว เราจะได้ไปพิสูจน์ถึงความมีอยู่จริงของเทวดาในสวรรค์ชั้นต่างๆ จะได้หายสงสัยในเรื่องของโลกสวรรค์กันเสียที ดังนั้น ให้ทุกคนหมั่นประพฤติเทวธรรม และทำใจหยุดนิ่ง ให้เข้าถึงพระธรรมกายภายในกันให้ได้

พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี
นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

* มก. เล่ม ๔๒ หน้า ๑๐๔

ที่มา - http://buddha.dmc.tv