ประโยชน์ - องุ่น


การยับยั้งเซลล์มะเร็งด้วยสารสกัดจาก...'องุ่นแดง'
       โรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนและทำให้เกิดโศกนาฎกรรมอย่างใหญ่หลวงแก่ประชาชนทุกชาติ ทุกภาษา ในวงการแพทย์พบว่าโรคที่มีอัตราการตายสูงมาก คือ โรคมะเร็ง

       โรคมะเร็ง ก่อกำเนิดมาจากเซลล์มะเร็งที่เกาะตามอวัยวะต่างๆ เปลี่ยนสภาพในร่างกาย แล้วเปลี่ยนไปเป็นเนื้อร้ายเจริญเติบโตและขยายตัวในหลอดเลือด และน้ำเหลือง จนในที่สุดกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ในร่างกายจนยากแก่การรักษา โดยเฉพาะหากกระจายไปที่ส่วนสำคัญ เช่น ปอด ตับ และสมอง เป็นต้น ซึ่งอวัยวะดังกล่าวเป็นจุดอ่อนที่เซลล์มะเร็งสามารถเข้าไปทำลายได้ง่าย แล้วก็จะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด

       การรักษาโรคหรือเนื้อร้ายนี้ในวงการแพทย์ได้พยายามวิวัฒนาการ การรักษา และเยียวยาเป็นเวลาช้านาน

        ปัจจุบันมีหลายวิธี คือ การผ่าตัด เคมีบำบัดและรังสีรักษา ซึ่งวิธีการดัง กล่าวก็เป้นเพียงแต่ยับยั้งหรือจำกัดการแพร่กระจายได้ในส่วนหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะในทางเคมีบำบัด และรังสีรักษา อาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปากอักเสบ ผมร่วง เป็นต้น ซึ่งสร้างความเจ็บปวดหรือทุกขเวทนาแก่ผู้ป่วยจนอาจยุติการรักษา
และนำไปสู่การสูญเสียชีวิตในที่สุด

        "...พบว่าสารสกัดจากกากองุ่นแดงสามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง จะหยุดการกระจาย และตายไปในที่สุด ที่ทางวิทยาศาสตร์เรียก อะพอพโตซิส (apoptosis)..."

       ปัจจุบันนี้วงการแพทย์และวิทยาศาสตร์ได้พยายามค้นคว้าวิจัยการยับยั้งเซลล์มะเร็ง โดยสารสกัดจากพืชสมุนไพรชนิดต่างๆ มากมายและเป็นที่สนใจแพร่หลายในระดับนานาประเทศ เนื่องจากในพืชสมุนไพรมีสารสำคัยในการออกฤทธิ์หลายชนิดเช่น ขมิ้นชัน เห็ดหลินจือ ขิง และองุ่น (Chung and Mi, 2006; John et al., 2005; Pezzuto, 1997) บางชนิดสามารถออกฤทธิ์ได้กว้างและมีรายงานว่ามีศักยภาพป้องกันหรือรักษาโรคมะเร็ง
เช่น phenolic compounds, alkaloids, flavonoids, terpenoids,caratenoids, curcumin เป็นต้น

       นอกจากนี้ยังมีรายงานข้อมูลยืนยันถึงความพยายามที่จะค้นหาสารหรือยาจากพืชเพื่อใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง โดยพบว่าสารหลายตัวอยู่ในระหว่างการศึกษาระดับคลีนิค และมีการ ยอมรับให้ผลิตเป้นยาแผนปัจจุบันและใช้รักษามะเร็งอย่างแพร่หลาย เช่น vinblastin,podophyllotoxin, camptothecin, และ paclitaxel และอื่นๆ ถูกนำมาใช้ในการรักษาตาม แนวทางการแพทย์ แต่ก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ จึงเกิดการค้นคว้าวิจัยหาสารสกัดจากสมุนไพรอื่นๆ ต่อมา

       ในฐานะผู้เขียนที่ศึกษาทางด้านพิษวิทยาและได้ทำการทดลองหาปริมาณสารประกอบ ฟินอลิค (phenolic compounds) ในพืชชนิดอื่นๆ พบว่า กากองุ่นแดงที่ผ่านการแปรรูป เป็นน้ำผลไม้และไวท์แดงแล้ว มีปริมาณสารประกอบฟินอลิคมากถึง 4,407.33=13.65 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าในน้ำองุ่นและไวท์

       ในการวิจัยครั้งนี้จึงเลือกใช้กากองุ่นแดง (ประกอบด้วย เมล็ด เนื้อ และเปลือก) มาใช้ในการศึกษาฤทธิ์ความเป็นพิษ ในการยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งท่อน้ำดี ซึ่งเป็นมะเร็งตับที่มีอุบัติ-การณ์สูงสุด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย พบว่าสารสกัดจากกากองุ่นแดงสามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งและหยุดการกระจาย จนตายไปในที่สุด ที่ทางวิทยาศาสตร์เรียก อะพอพโตซิส (apoptosis)

       ขณะเดียวกันยังสามารถยับยั้งวัฎจักรเซลล์มะเร้งได้อีกด้วย ทั้งนี้เพราะในองุ่นแดงจะมีสารใยอาหารที่ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง สารเม็ดสีโดยเแพาะแอนโทไวยานินสามารถต้านการอักเสบของเนื้อเยื่อ และต้านอนุมูลอิสระทั้งยังเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน

        นอกจากนี้ยังมีสาร Ellagic acid ที่สามารถจับและทำลายพิษของสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะ สาร resveratrol ที่พบมากในผิวจากเปลือกองุ่นแดง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ขณะเดียวกันก็ เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันแลัวยังเป็นสารป้องกันและต้านมะเร็งได้ นอกจากนี้ยังมีรายงานจากต่างประเทศว่า สามารถใช้รักษาโรคอัลไซ -เมอร์ พาร์กินสันและ เอดส์ได้อีกด้วย

ดังนั้น หากเรานำเอาสารสกัดที่ได้จากการแปรรูปขององุ่น มาใช้ให้เป็นประโยชน์โดย เฉพาะนำมาสกัดเอาสาร polyphenol เป็นสารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและเป็นสารต้านมะเร็ง โดยสกัดมาทำยา ซึ่งเราสามารถใช้เป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาโรคร้ายนี้ได้ในอนาคต

       ปัจจุบันได้มีความพยายามใช้สมุนไพรในการรักษาโรคร้ายแรงอยู่หลายชนิด ซึ่งถือว่าเป็นการรักษาด้านแพทย์ทางเลือกทางหนึ่งของกระทรวงสาธารณสุข

       การศึกษาวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ในการไปทำวิจัยที่ Johns-Hopkins University, School of Medicine, Baltomre, MD. ประเทศสหรัฐอเมริการ โดยมี

ผศ.ดร.เบญจมาศ จิตรสมบูรณ์
ผศ.ดร.จริยา หาญวจนวงษ์
รศ.ดร.บรรจบ
ศรีภา และศาสตราจารย์
ดร.โกวิท พัฒนาปัญญาสัตย์

       เป็นที่ปรึกษาและสนับสนุนการวิจัย ซึ่งทำให้ผลการวิจัยครั้งนี้นอกจากจะส่งผลให้เกิดปรากฎการณ์ในทางการแพทย์ทางเลือกแล้ว ผู้วิจัยใคร่ชี้ให้เห็นสรรพสิ่งที่เราเห็นว่าน่าจะหมดประโยชน์แล้วแต่ แท้จริงแล้วยังอาจมีสิ่งมหัศจรรย์ที่ยังหลงเหลืออยู่อันจะเป้นประโยชน์ซึ่งนักวิจัยไม่ควรละเลย

ที่มา - http://blythbybeem.exteen.com/