ครุกรรม (๑)

      คนพาลกระทำกรรมอันลามกอยู่ ย่อมไม่รู้สึก บุคคลที่มีปัญญาทรามย่อมเดือดร้อน เพราะกรรมทั้งหลายอันเป็นของตน เหมือนบุคคลที่ถูกไฟไหม้แล้วฉะนั้น


       ชีวิตหลังความตายเป็นชีวิตที่ยาวนาน เกินความคาดหมายว่าจะยาวนานสักเพียงไหน ขึ้นอยู่กับช่วงที่เป็นมนุษย์ หากสั่งสมบุญเอาไว้มากก็จะไปเสวยสุขอยู่ในสุคติภูมิเป็นเวลายาวนาน ถ้าเผลอพลั้งพลาดไปทำบาปก็จะไปเสวยทุกข์อยู่ในทุคติภูมิอีกยาวนานเช่นกัน ดังนั้นการประคับประคองตัวของเราให้ดำเนินชีวิตอยู่บนหนทางแห่งความดี บนเส้นทางแห่งบุญ จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะช่วยปกป้องคุ้มครองตัวของเราให้ปลอดภัย ทั้งภัยในชีวิต ภัยในอบายภูมิ และภัยในสังสารวัฏ เหมือนมีเกราะแก้วคุ้มกันภัยอันตรายนานัปการ ทุกๆ ท่านต่างก็มีอุดมการณ์มีเป้าหมายเหมือนกัน คือเกิดมาสร้างบารมี มาทำความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ มาศึกษาวิชชาธรรมกาย เพื่อขจัดกิเลสอาสวะให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ดังนั้นขอให้เข้มแข็ง อย่าท้อแท้ในการสร้างบารมี

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ความว่า

“อถ ปาปานิ กมฺมานิ กรํ พาโล น พุชฺฌติ
เสหิ กมฺเมหิ ทุมฺเมโธ อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ

      คนพาลกระทำกรรมอันลามกอยู่ ย่อมไม่รู้สึก บุคคลที่มีปัญญาทรามย่อมเดือดร้อน เพราะกรรมทั้งหลายอันเป็นของตน เหมือนบุคคลที่ถูกไฟไหม้แล้วฉะนั้น”

       คนพาลคือคนที่มีดวงปัญญามืดบอด มีชีวิตอยู่สักแต่ว่ามีลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างคุ้มค่า ส่วนบัณฑิตผู้มีปัญญา ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงคนที่ศึกษาเล่าเรียนจนจบปริญญาในสาขาต่างๆ มีความรู้แตกฉาน แต่ผู้มีปัญญาในที่นี้หมายถึง ผู้มีศรัทธาตั้งมั่นในพระรัตนตรัย มีความเลื่อมใสไม่คลอนแคลน เป็นสัมมาทิฏฐิ รู้บาปบุญคุณโทษ และรู้จักดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องด้วยการสร้างบารมี เหมือนพระบรมโพธิสัตว์ ที่ท่านลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมี อันที่จริงเราทุกคนและชาวโลกทั้งหลายล้วนเกิดมาสร้างบารมีอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้เกิดมาเพื่ออย่างอื่นอย่างที่ผู้ไม่รู้ทั้งหลายเข้าใจกัน สำหรับผู้รู้หรือผู้ที่เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องเดินตามรอยเท้าของท่าน ท่านก้าวซ้ายเราก้าวซ้าย ท่านก้าวขวาเราก้าวขวา โดยไม่มีแม้เพียงความคิดที่จะเดินออกนอกลู่นอกทาง

       ส่วนคนพาลนั้นถูกอวิชชาบดบังดวงปัญญาจนกระทั่งดวงปัญญาของตนมืดสนิท ทำให้ไม่รักบุญ ไม่กลัวบาป คิด พูด ทำในเรื่องที่เป็นบาปอกุศล ทำให้ชีวิตพบกับความมืดมนอนธการมากขึ้นทุกวัน ความมืดภายนอกยังมีวันสว่างได้ แต่ความมืดในดวงใจที่ไม่ได้รับรสแห่งพระสัทธรรมนั้นไม่มีวันสว่างได้เลย เป็นความมืดที่น่าสะพรึงกลัว เพราะจะทำให้พลัดตกไปในอบายภูมิ เขาไม่มีโอกาสใช้ชีวิตในเส้นทางที่ดีงามเลย ชีวิตมีแต่การสั่งสมบาปอกุศล ทำบาปเป็นอาจิณโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้การทำบาปกรรมยังให้ผลเรียงลำดับกันไป จากหนักลงไปหาเบา

       * กรรมที่ให้ผลเป็นอันดับแรก ศัพท์ทางพระพุทธศาสนาท่านเรียกว่า ครุกรรม เป็นกรรมหนัก เพราะกรรมอื่นๆ ไม่สามารถที่จะห้ามการให้ผลของครุกรรมได้ คำว่าครุกรรม ซึ่งหมายถึงกรรมหนักนี้ ถ้าใครได้ทำลงไปแล้ว จะส่งผลแก่ผู้ทำกรรมนั้นในปัจจุบันชาติ และยังให้ผลต่อไปทุกภพทุกชาติจนกว่าจะถึงชาติสุดท้าย กรรมอื่นๆ ไม่มีอำนาจมากพอที่จะขวางกั้นการให้ผลของครุกรรมได้เลย

       ครุกรรมแบ่งออกเป็นฝ่ายใหญ่ๆ ๒ ฝ่าย คือฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศล ใครทำครุกรรมฝ่ายกุศลเอาไว้ จะส่งผลให้บังเกิดในสุคติภูมิที่ละเดียดประณีตยิ่งขึ้นไปตามกำลังบุญ ส่วนใครทำครุกรรมฝ่ายอกุศล ย่อมจะทำให้ผู้นั้นไปบังเกิดในทุคติภูมิอย่างแน่นอน อุปมาเหมือนการโยนก้อนกรวดและก้อนหินลงในแม่น้ำ แม้ก้อนกรวดนั้นจะมีขนาดเพียงเมล็ดถั่วเขียว ก็ย่อมจมลงสู่แม่น้ำฉันใด ครุกรรมไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล ย่อมจะทำให้ผู้กระทำไปสู่สุคติภูมิ หรือทุคติภูมิอย่างแน่นอนฉันนั้น

       กรรมหนักฝ่ายอกุศลมีอยู่ ๒ ประการด้วยกัน คือ นิยตมิจฉาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิดิ่ง เหมือนกับเจ้าลัทธิทั้งหลาย มีปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาล เป็นต้น ที่ไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป ส่วนประการที่ ๒ คืออนันตริยกรรม ๕ ประการ ได้แก่ มาตุฆาต(ฆ่ามารดา) ปิตุฆาต(ฆ่าบิดา) อรหันตฆาต(ฆ่าพระอรหันต์) โลหิตุปบาท(ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต) และประการสุดท้ายคือ สังฆเภท(ทำลายสงฆ์ให้แตกแยกกัน) นี่เป็นครุกรรมฝ่ายอกุศล หลวงพ่อขออธิบายอนันตริยกรรมเพิ่มเติมสักเล็กน้อย เราจะได้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น

       สำหรับมาตุฆาตและปิตุฆาตที่จัดว่าเป็นอนันตริยกรรมนั้น หมายถึงฆ่ามารดาบิดาผู้ที่ให้กำเนิดเรา จัดเป็นอนันตริยกรรม ดังตัวอย่างของพระเจ้าอชาตศัตรูที่ปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชบิดา อีกกรณีหนึ่ง แม้จะไม่รู้ว่าเป็นบิดาหรือมารดาเลยก็ตาม หากพลั้งพลาดไปทำร้ายเข้าจนกระทั่งถึงแก่ชีวิตก็จัดเป็นอนันตริยกรรม เช่นลูกของโสเภณี ไม่รู้ว่าใครเป็นบิดา ต่อมาได้ไปฆ่าชายคนหนึ่งตาย เผอิญว่าชายคนนั้นเป็นบิดาผู้ให้กำเนิด แต่ตัวเองไม่รู้ว่าเป็นบิดา อย่างนี้ถือว่าเป็นปิตุฆาต จัดเป็นอนันตริยกรรม มีอเวจีมหานรกเป็นที่ไปเหมือนกัน

       ถ้าสมมติว่าบุตรเป็นมนุษย์ แต่มารดาบิดาละโลกไปแล้วไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน แล้วบุตรนั้นได้ฆ่าบิดามารดาที่มาเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานนั้น อย่างนี้ไม่จัดเป็นอนันตริยกรรมเพราะภพชาติเปลี่ยนไป เป็นบาปกรรมที่ทำสัตว์นั้นถึงแก่ความตายจัดเป็นปาณาติบาต หรือลูกที่ละโลกไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน บิดามารดาเป็นมนุษย์ แล้วสัตว์นั้นก็มาฆ่าพ่อแม่ของตนเองในอดีตชาติ ก็ไม่ถือเป็นอนันตริยกรรม

       กรณีที่เราได้พลั้งพลาดไปทำโดยไม่เจตนา เช่นพรานเข้าไปในป่า เห็นเงาตะคุ่มๆ ผ่านไปคิดว่าเป็นแพะจึงพุ่งหอกไป ปรากฏว่าเป็นบิดาของตน หอกปักอกท่านตาย อย่างนี้ก็เป็นปิตุฆาต เพราะมีเจตนาฆ่าเป็นเบื้องต้น นี่คือรายละเอียดปลีกย่อย ซึ่งพวกเราควรจะรับรู้รับทราบเอาไว้ เพื่อเป็นความรู้ไว้ตักเตือนตนเองและผู้อื่น

       แม้ในกรณีของอรหันตฆาตคือฆ่าพระอรหันต์ จัดเป็นอนันตริยกรรมของบุคคลที่ฆ่าพระอรหันต์เท่านั้น ถ้าฆ่าพระอรหันต์โดยเจตนา กรรมส่งผลในปัจจุบันทันตาเห็นทีเดียว ไม่ว่าจะกระทำโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็จัดเป็นกรรมหนักทั้งสิ้น เช่น เมื่อบุคคลเข้าไปในป่าเพื่อล่าสัตว์ เห็นจีวรเหลืองๆ อยู่รำไรๆ คิดว่าเป็นเนื้อทราย ก็พุ่งหอกไปถูกพระอรหันต์รูปหนึ่ง ท่านได้รับความเจ็บปวด ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ในที่สุดก็ละสังขารนิพพานไป อย่างนี้ก็เป็นอรหันตฆาต แม้จะไม่เจตนาแต่กรรมไม่ลดหย่อนผ่อนปรนให้ใคร ส่วนในกรณีที่ใช้ผู้อื่นไปฆ่าจนกระทั่งถึงแก่ความตายนั้น ผู้ใช้ให้ฆ่าและตัวผู้ไปฆ่าเองย่อมได้บาปมหันต์ต้องอนันตริยกรรมหนักทีเดียว แม้ท่านเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่บรรลุธรรมแล้วเป็นพระขีณาสพ แต่ยังถือเพศฆราวาสอยู่ ผู้ใดไปทำร้ายท่าน ผู้นั้นถือได้ว่าทำอรหันตฆาตต้องอนันตริยกรรมด้วยเช่นกัน

       แม้ในกรณีที่เป็นปุถุชนคนธรรมดา แต่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จึงมุ่งหน้าประพฤติปฏิบัติธรรม ในขณะที่กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่นั้น บังเอิญว่ามีคนร้ายต้องการจะฆ่าท่านให้ตาย จึงลอบนำยาพิษมาใส่ในอาหารและน้ำดื่ม เมื่อท่านผู้นั้นรับประทานอาหารและน้ำเข้าไป ทุกขเวทนาแรงกล้าเพราะยาพิษก็บังเกิดขึ้น ท่านกำหนดเอาทุกขเวทนานั้นมาเป็นหนทางแห่งกัมมัฏฐาน ด้วยความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นในเวทนานุปัสสนา ประคองใจรักษาใจจนกระทั่งหยุดนิ่งจนเข้าถึงกายธรรมอรหัตตัดกิเลสอาสวะได้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ แล้วดับขันธ์เข้าสู่อายตนนิพพพาน เพราะไม่สามารถจะทนฤทธิ์ของยาพิษได้จึงละสังขาร ถ้าเป็นกรณีนี้คนลอบวางยาพิษ คิดประทุษร้ายต่อท่านผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ย่อมได้บาปมหันต์ เป็นอรหันตฆาตต้องอนันตริยกรรม ซึ่งเป็นครุกรรมหนักที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ขึ้นสวรรค์ไม่ได้ บรรลุมรรคผลนิพพานก็ไม่ได้

       เรื่องของอนันตริยกรรมนั้นเป็นเรื่องร้ายแรงที่ห้ามสวรรค์ห้ามมรรคผลนิพพานในปัจจุบันชาติทีเดียว ถ้าพลาดพลั้งไปแล้ว แม้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาโปรดให้ได้ฟังธรรมจนซาบซึ้งเข้าใจแจ่มแจ้ง ก็ไม่สามารถจะบรรลุธรรมในปัจจุบันชาตินี้ได้ บุญกุศลก็มีอยู่ ถึงได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมใดๆ ได้ เนื่องจากกรรมหนักมาขวางเอาไว้ จึงทำให้ไม่บรรลุธรรม ครั้นละโลกไปแล้ว แม้ทำความดีไว้มากมายหรือสำนึกผิดกลับตัวกลับใจแล้ว แต่กรรมนี้จะส่งผลก่อน คือต้องไปบังเกิดในอเวจีมหานรก ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส กว่าจะหมดกรรมก็ยาวนานเป็นกัปๆ ทีเดียว

       แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราประกอบครุกรรมฝ่ายกุศล เช่นได้ทำบุญใหญ่ เป็นมหัคคตกุศล ทำบุญถูกเนื้อนาบุญ ถูกทักขิไณยบุคคล จะได้มหากุศลติดตามตัวเราไปทุกภพทุกชาติ แล้วบุญนั้นยังส่งผลให้เราในปัจจุบันชาตินี้ทีเดียว โดยเฉพาะครุกรรมที่เกิดจากใจหยุดนิ่งจนได้ฌานสมาบัติ เป็นฌานลาภีบุคคลก็ดี หรือเข้าถึงกายธรรมต่างๆ ก็ดี อานุภาพของการทำใจให้หยุดนิ่งนี้ จะช่วยปิดนรก เปิดสวรรค์ ยกใจของเราขึ้นสู่หนทางพระนิพพาน ดังนั้นต้องรู้จักรีบเร่งในการทำบุญใหญ่ ทำให้ถูกเนื้อนาบุญ และทำใจให้หยุดนิ่งให้ได้ตลอดเวลา จะได้เป็นครุกรรมฝ่ายกุศล ที่จะให้ผลเป็นความสุขความสำเร็จสมหวังในชีวิตกันทุกๆ คน

พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี
นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

* กรรมทีปนี (พระพรหมโมลี)

ที่มา - http://buddha.dmc.tv