ภูมิของพระโสดาบัน

       ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ธรรม ๔ ประการคือ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการเหล่านี้แล เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า


      ทุกชีวิตที่เกิดมาในโลกนี้ ล้วนเกิดมาจากสถานที่ที่แตกต่างกัน ได้รับการอบรมพรํ่าสอนจากสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันออกไป แต่ในความเหมือนกันของมนุษย์ทุกคน ล้วนเกิดมาเพื่อฝึกฝนอบรมกาย วาจา ใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์ เกิดมาเพื่อเพิ่มเติมบุญบารมีให้มากขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะบรรลุถึงจุดหมายปลายทางของชีวิต คือการหมดกิเลสเข้าสู่นิพพาน หนทางลัดที่สุดในการอบรมกาย วาจา ใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์ คือการทำใจให้หยุดนิ่ง ด้วยการเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนา เมื่อเราฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ทำให้เป็นอาจิณแล้ว ความบริสุทธิ์ก็จะกลั่นใจของเราให้ใสสว่าง ทำให้เรานึกคิดแต่สิ่งที่ดี และจะส่งผลออกมาทางคำพูดและการกระทำที่ดีๆ ซึ่งเป็นไปเพื่อบุญกุศล และเพื่อให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน โอคธสูตร ว่า

      "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ธรรม ๔ ประการคือ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการเหล่านี้แล เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า "

      * พระโสดาบันบุคคล คือ ผู้ถึงกระแสพระนิพพาน ท่านเป็นพระอริยเจ้า ผู้ได้ลิ้มรสอมตธรรม คือ พระนิพพานที่พระบรมศาสดาได้เข้าถึงแล้ว ฉะนั้น ท่านจึงไม่มีความสงสัยในพระรัตนตรัยอีกต่อไป เพราะได้เข้าถึงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมกายโสดาบัน รู้ซึ้งด้วยตัวเองว่า พระรัตนตรัยภายใน คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ เป็นรัตนะอันประเสริฐ

      ภูมิของพระโสดาบันเป็นโลกุตตรภูมิชั้นต้น เป็นหนึ่งใน ๔ ของโลกุตตรภูมิ คือโสดาปัตติภูมิ สกทาคามีภูมิ อนาคามีภูมิ และอรหัตตภูมิ ซึ่งหลวงพ่อจะทยอยนำเนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับโลกุตตรภูมิมาเล่าสู่พวกเราให้ได้ศึกษากันไปตามลำดับ

       ผู้ที่มีคติในสังสารวัฏยังไม่แน่นอน เรียกว่า ปุถุชน คือ ชนผู้ที่ยังหนาไปด้วยกิเลส ส่วนพระอริยบุคคลนั้น คือ ผู้มีใจประเสริฐ มีคุณธรรมภายใน ไม่ทำบาปอกุศลแม้เพียงน้อยนิด สามารถสละชีวิตของตนได้เพียงเพื่อไม่ให้เสียคุณธรรม อีกทั้งมีความประเสริฐทั้งกาย วาจา และใจ จึงได้รับการขนานนามว่า พระอริยเจ้า และไม่ว่าจะอยู่ในเพศภาวะของบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ ก็เป็นพระอริยเจ้าได้เหมือนกัน เพราะท่านมีคุณวิเศษและคุณธรรมภายใน โดยเฉพาะในกลางกายของท่านนั้นมีธรรมกายที่สว่างไสว ตั้งแต่กายธรรมพระโสดาบันที่ทำให้เป็นพระอริยเจ้าในระดับต้น จนกระทั่งถึงกายธรรมอรหัตที่ทำให้เป็นพระอรหันต์

       พวกเราที่ได้ศึกษาธรรมะภาคปริยัติมามาก จะเห็นว่า ในสมัยพุทธกาลนั้น มีพระอริยเจ้าเกิดขึ้นมากมาย ทั้งที่เป็นบรรพชิตและคฤหัสถ์ เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้ว เราจะได้ทำความเห็นให้ตรงกันว่า การวัดความเป็นอริยบุคคลนั้น เขาวัดกันที่การได้ขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปจากใจ คือ ถ้าสังโยชน์เบื้องตํ่า ๓ อย่าง หลุดออกจากใจไปได้ ก็จะเข้าถึงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมกายโสดาบัน ซึ่งเรียกว่าพระโสดาบันบุคคล ถ้าสังโยชน์ทั้ง ๑๐ หลุดล่อนออกจากใจ สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ได้เข้าถึงกายธรรมอรหัต ก็เป็นพระอรหันต์ ซึ่งหลวงพ่อจะอธิบายไปตามลำดับ

      ครั้งนี้เราจะเริ่มต้นกันที่พระโสดาบันบุคคล ซึ่งเป็นโลกุตตรภูมิขั้นต้น พระโสดาบันได้ลิ้มรสอมตธรรมคือพระนิพพานอันเป็นธรรมชั้นสูงสุดแล้ว ใจของท่านจึงน้อมไปในกระแสพระนิพพานตลอดเวลา เมื่อละโลกไปแล้ว จะมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไปเพียงอย่างเดียว จนกว่าจะได้นิพพานสมบัติ คือหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ อานิสงส์ที่ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันผู้ตัดสังโยชน์เบื้องตํ่าทั้ง ๓ ได้แล้วนี้ ทำให้เป็นผู้ละสักกายทิฏฐิ คือความยึดมั่นในสิ่งต่างๆ ว่าเป็นของตน และคลายวิจิกิจฉาซึ่งเป็นความสงสัยในพระรัตนตรัยได้หมด และจะเชื่อมั่นในคุณของพระรัตนตรัย เพราะได้เข้าถึงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัตนะทั้ง ๓ แล้ว

       ที่ผ่านมาอาจจะเป็นเพียงได้ยินได้ฟัง แต่เมื่อยังเข้าไม่ถึง ความเชื่อก็ยังไม่เต็มเปี่ยม ๑๐๐ เปอร์เซนต์ ครั้นได้เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบันที่ชัดใสสว่างอยู่ในกลางกายแล้ว ความเข้าใจเรื่องบาป บุญ คุณ โทษ นรก สวรรค์เหล่านี้ ว่ามีจริงหรือไม่ ก็จะคลายไปหมด จากที่มีสัมมาทิฏฐิที่ไม่สมบูรณ์ ก็จะกลายมาเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิครบถ้วนบริบูรณ์โดยอัตโนมัติ อีกทั้งสีลัพพตปรามาส คือ ความยึดมั่นในศีลพรตต่างๆ ที่ไม่ใช่ศีลของพระอริยเจ้าก็จะหมดสิ้นไป และรู้ว่ามัชฌิมาปฏิปทาเป็นเส้นทางสายกลาง จะต้องดำเนินตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้น เว้นจากอริยมรรคแล้ว เป็นเข้าไม่ถึงพระนิพพาน เพราะฉะนั้น เส้นทางชีวิตสู่เป้าหมายหลักคืออายตนนิพพานของพระโสดาบันจึงชัดเจนมาก ท่านจะเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอย่างมากอีกไม่เกิน ๗ ชาติ ก็จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์อย่างแน่นอน

       ผู้ที่สามารถขจัดกิเลสออกจากใจได้ จนถึงขั้นเป็นพระโสดาบัน นับว่าเป็นผู้มีดวงใจผ่องแผ้วได้รับความเบาใจทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ประเสริฐกว่าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีศักดานุภาพที่สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ เนื่องจากท่านสมบูรณ์ด้วยรัตนตรัยภายใน สามารถปิดประตูอบายได้สนิท ถ้าเป็นปุถุชนที่แม้ดำรงตำแหน่งเป็นถึงพระเจ้าจักรพรรดิ ถึงกระนั้น เมื่อละโลกไปแล้ว ท่านเหล่านี้ก็ยังเป็นผู้ที่มีอนาคตไม่แน่นอน ยังเป็นอนิยตภูมิ ยังมีโอกาสวนเวียนเกิดในอบายภูมิได้อีก คือ อาจเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานในชาติใดชาติหนึ่งก็ได้ อย่างนี้จึงชื่อว่ายังไม่ปลอดภัย ยังไม่พ้นทุกข์ในอบาย ยังปิดประตูอบายให้กับตัวเองไม่ได้ แต่พระโสดาบันบุคคลท่านมีชีวิตในอนาคตที่ปลอดภัย จะมีแต่สุคติภูมิเพียงอย่างเดียวเท่านั้นเป็นที่ไป

       เหมือนดังที่พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าจักรพรรดิเสวยราชสมบัติเป็นอิสราธิบดีในทวีปทั้ง ๔ เมื่อเสด็จสวรรคตแล้ว ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ คือได้ไปเป็นสหายของพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ เสวยทิพยสมบัติ แวดล้อมไปด้วยหมู่นางเทพอัปสร เอิบอิ่มพรั่งพร้อมบำเรออยู่ด้วยกามคุณทั้ง ๕ อันเป็นทิพย์ ณ สวนนันทวันในดาวดึงส์พิภพ แม้ท้าวเธอจะประกอบด้วยธรรม ๔ ประการก็จริง ถึงอย่างนั้น ท้าวเธอก็ยังไม่พ้นจากนรก ยังไม่พ้นจากกำเนิดเดรัจฉาน ยังไม่พ้นจากเปตวิสัย คือ ยังไม่พ้นจากอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

      ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกเยียวยาอัตภาพอยู่ ด้วยคำข้าวที่แสวงหามาได้ด้วยปลีแข้ง นุ่งห่มผ้าที่เศร้าหมองและประกอบด้วยธรรม ๔ ประการแล้ว อริยสาวกนั้นย่อมพ้นจากนรก ย่อมพ้นจากกำเนิดเดรัจฉาน ย่อมพ้นจากเปตวิสัย คือ ย่อมพ้นจากอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ธรรม ๔ ประการ คือ อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ ประกอบไปด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท ที่วิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาและทิฏฐิไม่ลูบคลำแล้ว เป็นไปเพื่อสมาธิ

       ภิกษุทั้งหลาย ระหว่างการได้ทวีปทั้ง ๔ กับการได้ธรรม ๔ ประการนี้ การได้ทวีปทั้ง ๔ ย่อมไม่มีคุณค่าถึงเสี้ยวที่ ๑๖ ของการได้ธรรม ๔ ประการนี้เลย ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ประกอบไปด้วยธรรม ๔ ประการย่อมเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกตํ่าเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ที่จะได้ตรัสรู้ในเบื้องหน้า”

      ฉะนั้น สำหรับพวกเรานักสร้างบารมี อย่าประมาทในการปฏิบัติธรรม ต้องรีบปฏิบัติให้เข้าถึงพระธรรมกาย อย่างน้อยก็ธรรมกายโคตรภู ชีวิตจึงจะปลอดภัย เรายังมีเป้าหมายที่จะรื้อวัฏฏะ ไม่ใช่หนีวัฏฏะ เพราะถ้าเข้าถึงพระธรรมกายได้เมื่อไร เราก็สามารถปิดประตูอบายภูมิได้เมื่อนั้น เราตั้งความปรารถนาจะไปเสวยสุขอยู่ในสุคติโลกสวรรค์ชั้นดุสิต พอถึงขีดถึงคราวก็ลงมาสร้างบารมีในโลกมนุษย์อีก ดังนั้นให้ทำกันให้เต็มที่ และหมั่นฝึกใจให้หยุดให้นิ่ง จนกว่าจะเข้าถึงพระธรรมกายภายในกันทุกคน

พระธรรม เทศนาโดย: พระเทพญาณ มหามุนี
นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

* ภูมิวิลาสินี (พระพรหม โมลี)

ที่มา - http://buddha.dmc.tv