สัตติคุมพะชาดก ชาดกว่าด้วยเรื่องการคบหาคนพาล

       สารัตถะแห่งพระพุทธศาสนาข้อสำคัญที่ประจักษ์แจ้งทั่วกันอย่างหนึ่งก็คือ อนิจจัง ความไม่เที่ยงไม่จีรังยั่งยืนของสรรพสิ่ง ในแผ่นดินมคธซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปักธงชัยประกาศศาสนาไว้ ก็ไม่พ้นจากความจริงจากข้อนี้ได้ เมื่อสิ้นอำนาจพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าอชาตศัตรูผู้ทำปิตุฆาตขึ้นครองมคธตามคำยุยงของพระเทวทัต

นกแขกเต้าบุปผกะซึ่งถูกเลี้ยงดูจากพระฤาษี

       สารัตถะแห่งพระพุทธศาสนาข้อสำคัญที่ประจักษ์แจ้งทั่วกันอย่างหนึ่งก็คืออนิจจัง ความไม่เที่ยงไม่จีรังยั่งยืนของสรรพสิ่ง ในแผ่นดินมคธ ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปักธงชัยประกาศศาสนาไว้ ก็ไม่พ้นจากความจริงจากข้อนี้ได้


บ้านเมืองในยามที่สิ้นอำนาจพระเจ้าพิมพิสาร

       เมื่อสิ้นอำนาจพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าอชาตศัตรูผู้ทำปิตุฆาตขึ้นครองมคธตามคำยุยงของพระเทวทัตก็สร้างพุทธสถานใหม่ขึ้นที่คยาสีสะแยกสงฆ์ออกเป็นสองส่วน ภิกษุบวชใหม่เกือบทั้งหมดกับเครื่องบริขารออกเดินตามหลังพระเทวทัตไปจำพรรษา ณ พระอารามใหม่นั้น

ภิกษุบวชใหม่เกือบทั้งหมดได้จำพรรษา ณ พระอารามใหม่

      มอบตัวเป็นศิษย์และปฏิบัติตามคำสอนที่พระเทวทัตบัญญัติขึ้นใหม่อย่างหลงผิด “ข้าวของเครื่องใช้ที่อำนวยความสะดวกทั้งหลายเราเก็บมาหมดแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ เมื่อไปอยู่ที่ใหม่คงสะดวกสบายขึ้นเยอะนะพระพุทธเจ้าค่ะ”

พระอัครสาวก

       กาลต่อมาแม้ว่าพระอัครสาวกเบื้องขวาเบื้องซ้ายของพระพุทธองค์ คือพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะจะนำกลับมาได้ทั้งหมด แต่ปริศนาอันเป็นข้อวิพากษ์อยู่ไม่คลายเกี่ยวกับภิกษุสงฆ์ที่ไปใกล้ชิดพระเทวทัตก็คือยังจะมีพระธรรมวินัยและจิตรธรรมครบถ้วนอยู่หรือไม่

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสเล่าชาดก

       สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงมีบุพเพนิวาสานุสติญาณหยั่งรู้ในสรรพชีวิตทุกภพชาติจึงทรงมีพระกรุณาธิคุณตรัสเล่าชาดกแสดงโทษของการคบหาคนพาลขึ้นในสัตติคุมพะชาดกว่า

ในยุคสมัยพระเจ้าปัญจาละทรงครองประเทศอุตตรปัญจาละ

       กาลครั้งหนึ่งยุคสมัยที่พระเจ้าปัญจาละครองประเทศอุตตรปัญจาละ ยังมีนกแขกเต้าพี่น้องสองตัวถูกพายุกรรโชกพัดออกไกลจากรังที่อาศัย นกแขกเต้าทั้งสองปลิวคว้างมาตามแรงลมและผลัดแยกออกจากกันตั้งแต่บัดนั้น

นกแขกเต้าสองพี่น้องถูกลมพายุพัดร่วงหล่นไปคนละทาง

       “โอ้ย ลมแรง ลมพัดแรงเหลือเกิน โอ้ย..” “พี่ๆ ๆ ท่านพี่เราต้องจากกันเพราะลมนี้หรือนี่” นกตัวพี่ถูกลมพัดร่วงหล่นไปในป่าอันเขียวขจีร่มเย็นทางทิศเหนือ ที่นี่เป็นสถานบำเพ็ญธรรมของเหล่าฤาษี นกแขกเต้าร่วงหล่นลงมาบนกองดอกไม้แท่นบูชา

นกแขกเต้าตัวพี่ถูกลมพัดมาตกลงบนแท่นบูชาหน้าอาศรมฤาษี

       “ฮะ..เจ้านกน้อยโชคดีของเจ้านะเนี่ยที่ตกลงบนดอกไม้พอดี ไม่งั้นเจ้าคงต้องบาดเจ็บแน่ๆ มามะ มาเถิดเราจะดูแลเจ้าเอง” พระฤาษีเก็บนกตัวนั้นเลี้ยงดูไว้ใกล้อาศรมตั้งชื่อให้ว่า บุปผกะ บุปผกะได้ฟังธรรมะและคำสอนซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ดีมีคุณต่อตนและผู้อื่น ทุกวันจิตใจก็เยือกเย็นอยู่ในกระแสธรรม

ฤาษีได้สอนธรรมะและคำสอนที่ดีงามแก่นกแขกเต้าตัวพี่

       “อันบาปกรรมเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ แม้แต่การคิดร้ายต่อบุคคลอื่นกรรมนั้นก็จะทำให้เรามีจิตใจไม่สงบ ดำรงจิตใจอันหม่นหมอง” “ดีนะท่านฤาษีที่ท่านสอนให้ผมกินแต่ผลไม้ ไม่กินหนอนเหมือนตัวอื่นๆ ไม่งั้นผมคงต้องทำบาปทำกรรมกับเจ้าหนอนพวกนั้น”

นกแขกเต้าตัวน้องได้ถูกลมพัดมาตกที่รังโจรเคราดำ

       ส่วนนกแขกเต้าผู้เป็นน้อง ถูกกระแสลมส่งมาตกในโรงเก็บอาวุธภายในรังโจรเคราดำผู้ดุร้าย “อ้าวนกแขกเต้านี่น่ามาตกอยู่ตรงนี้ได้ไงนี่ ดีนะที่ไม่ตกลงมาโดนคมหงอกนะ ไหนๆ ก็ ไหนๆแล้ว ข้าจะช่วยเลี้ยงแกก็ได้ เผื่อจะมีประโยชน์มั่ง”

นกแขกเต้าตัวน้องนาม "สัตติคุมพะ" ได้เติบโตในชุมชนของโจร

       นกแขกเต้าผู้น้องเติบโตขึ้นในชุมชนโจร ได้รู้เห็นแต่การกระทำชั่ว ได้ยินแต่คำพูดไม่ดีตลอดมาก็จดจำเป็นนิสัย “ชื่อสัตติคุมพะก็แล้วกัน เพราะข้าเจอแกในกองอาวุธนี่น่า เหมาะกับแกเลยนะเนี่ย มาอยู่กับข้านะ ข้าจะสอนแกปล้น จี้ เจ้านกสัตติคุมพะ”

พระเจ้าปัญจาละทรงเสด็จประพาสป่าล่ากวาง

       ต่อมาอีกไม่นานป่าไม่ชายแดนบริเวณนี้ก็มีขบวนประพาสป่าล่ากวางของพระเจ้าปัญจาละผ่านมา พระราชาปัญจาละเสด็จมายังป่าใกล้รังโจรโดยไม่รู้พระองค์ เพราะทรงติดตามรอยกวางมาอย่างสำราญพระทัย

กวางตัวหนึ่งวิ่งผ่านหน้าพระพักตร์พระเจ้าปัญจาละ

       “ตามไปทางนั้นซิทหาร เราว่าเจ้ากวางต้องวิ่งหนีไปทางนั้นแน่ๆ” “ข้างหน้านั่นรึพระเจ้าค่ะ” “นั่นไงในป่าโป่งข้างหน้านะ มีหญ้าอ่อนอยู่ แสดงว่าต้องมีกวางให้ยิงแน่ๆ ทุกคนฟังนะหากแม้นว่าไล่ต้อนกวางจนมันหนีออกมาแล้ว หากผู้ใดปล่อยให้กวางหนีออกไปทางตนเองได้เราจะลงโทษอย่างหนัก”

พระเจ้าปัญจาละทรงสั่งทหารให้ล้อมจับกวางให้ได้

       เมื่อพระเจ้าปัญจาละตรัสจบก็มีกวางเจ้ากรรมวิ่งผ่านพระพักตร์เหมือนจะลองดี “เฮ้ยเจ้ากวาง โธ่เอ้ยหนีไปทางนั้นซะได้ ทหารรีบล้อมจับกวางตัวนั้นไว้ หนอยแน่..ท้าทายเราใช่มะ ไม่รอดแน่เจ้ากวางเอ๋ย”

พระเจ้าปัญจาละทรงควบม้าไล่ตามกวางไปอย่างรวดเร็ว

       ด้วยขัตติยมานะของราชา พระเจ้าปัญจาละก็ควบขับม้าทรงตามไล่กวางนั้นไปอย่างเร็ว จนข้าทหารทุกคนไม่มีใครเสด็จได้ทัน “เฮ้ยเจ้ากวางตัวนี้วิ่งเร็วน่าดู แต่จะหนีม้าเร็วของเราไปได้อย่างไร แบบนี้มันต้องเจอกันหน่อยซะแล้ว”

ขุนศึกวัยชราขี่ม้าติดตามพระราชาจนพบ

      มีแต่ขุนศึกวัยชราเท่านั้นที่ขี่ม้าติดตามพระราชาจนพบ ทั้งสองตามรอยกวางขาวตัวนั้นจนเหนื่อยล้า แต่ก็ไม่เห็นแม้เงากวาง “ข้างหน้ามีต้นไม้ใหญ่ประทับพักที่นั่นก่อนเถิดพระเจ้าค่ะ” “ดีเหมือนกันเราชักจะเหนื่อยแล้ว”

พระเจ้าปัญจาละทรงประทับนั่งใต้โคนไม้ใหญ่

       พระเจ้าปัญจาละประทับยังโคนไม้นั่งอยู่ไม่นานนักก็ไม่อาจพักอย่างสำราญได้ เพราะรำคาญพระทัยกับเสียงนกตัวหนึ่ง “โอ้ ทอง เพชร พลอย ถอดมาๆๆๆ เอามาเร็วเข้านะ เอามาๆๆ เร็ว” “เฮ้อรำคาญจริงๆ เสียงใครที่ไหนเนี่ย”

นกสัตติคุมพะบินมาเห็นพระราชาซึ่งพระวรกายประดับไปด้วยเพชรพลอย

       นกตัวนี้คือสัตติคุมพะ ซึ่งอาศัยอยู่กับโจรป่า พฤติกรรมต่างๆ จึงเหมือนกับเหล่าโจร “ปล้น ปล้นมันเลย ฆ่ามันๆ ฆ่ามันให้หมด” สัตติคุมพะบินดูลาดเลาจนพอใจแล้วก็รีบกลับมารังโจร เพื่อไปนำทางพรรคพวกมาปล้นทรัพย์ แต่บังเอิญทุกคนออกไปปล้นชิงกันหมด คงเหลือเพียงพ่อครัวคนหนึ่งเท่านั้น

นกสัตติคุมพะกลับมารายงานโจรเพื่อให้ออกไปปล้นเหยื่อที่ตนเห็น

       “เร็วเข้าๆ ปล้นมันเร็ว ฆ่ามันเลย ฆ่ามันให้หมด ปล้นมัน” “เอ้..เจ้านกนี่มันบอกให้ไปปล้นใครวะเนี่ย เห็นของดีเข้าละซิ สัญชาติญาณนกโจรจริงนะเจ้านี่ ไป ๆๆๆ ไปดูก็ได้” “นั่นไงใต้ต้นไม้นั่นไง ปล้นเลย ปล้นเอามาชิงเอาทองมันมาให้หมดเลย เอาทองมา เอามาเลย”

สัตติคุมพะได้นำโจรไปหาเหยื่อที่ตนเห็น โจรจึงได้ทราบว่าเป็นพระราชา

       “เอาแล้วไง งานเข้าแล้วไม๊ละ โอ้ยเจ้านกเอ้ย นั่นมั่นพระราชากับขุนพลนะเว้ยอย่าหาที่ตายเลยแก่ ไปกลับกันเถอะ” “เอาทองมาๆ ปล้นมัน ปล้นมันเร็ว เอาทองมา” เสียงนกแขกเต้าดังจนเล็ดลอดมาให้พระเจ้าปัญจาละจับพิรุจและรู้พระองค์จนได้

ขุนศึกทูลเชิญให้พระราชาเสด็จจากที่ประทับซึ่งเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย

       “เสด็จไปจากที่นี่เถอะพระเจ้าค่ะ ใครโผล่มาข้าพระองค์เตรียมลูกศรไว้ให้มันแล้ว” “นั่นซิ คงจะเป็นโจรแถวนี้ละมั้ง” “นั่นไงเสียงมาจากทางนั้นพระเจ้าค่ะ” “เฮ้ย ที่แท้ก็เป็นเสียงนกนั่นเอง โธ่เอ้ยเจ้านกปากเปราะ ไป๊ ไปให้ไกล รำคาญจริงเชี่ยว”

ขุนศึกเห็นนกสัตติคุมพะ จึงทราบที่มาของเสียง

       “เฮ้ยๆ เหยื่อหนีแล้ว จับมันเร็วจับมัน ปลดทรัพย์มันเร็ว ปลดมันเลย” “ไอ้เจ้านกตัวนี้ไม่รู้จักที่ตายรึไง เดี๋ยวเฮอะ..พ่อจะยิงแทนกวางซะเลย” สัตติคุมพะอยู่ใกล้คนพาล จึงติดนิสัยก้าวร้าวหยาบคาย จนกลายเป็นนกแขกเต้าที่น่ารังเกียจไปอย่างน่าเสียดาย “เอาทองมาเร็ว ปลดทรัพย์ของเจ้ามา เจ้าคนขี้ขลาด ต้องตายตายซะ”

นกสัตติคุมพะถูกเลี้ยงมาด้วยโจรจึงมีนิสัยก้าวร้าวพูดจาหยาบคาย

       ด้านพระเจ้าปัญจาละนั้นเมื่อทรงม้าผ่านป่าจนไกลจากรังโจรออกมาชั่วเวลาหนึ่ง พระทัยก็แช่มชื่นเพราะได้สดับเสียงไพเราะแว่วมาจากพุ่มไม้ใกล้ “กุลบุตรหรือธิดาใครนะพูดจาดีมีสัมมาคารวะ น่ารู้จักคบหานัก เราเข้าไปดูกันเถอะขุนพล”

พระราชาได้ยินเสียงที่ไพเราะแว่วมาจากพุ่มไม้ เลยเสด็จเข้าไปดู

       เมื่อพระราชาเสด็จมาถึงก็พบอาศรมพระฤาษีและนกแขกเต้าบุปผกะเกาะอยู่บนคอน “เชิญท่านผู้เดินทางเข้ามาพักภายในอาศรมก่อนเถิด สนทนาธรรมกันพอชื่นใจ” “เอ้า ที่แท้ก็เสียงนกแขกเต้าตัวนี้นี่เอง อึม..ช่างน่าฟังแท้ ไม่เหมือนนกตัวเมื่อกี้ เราเข้าไปคุยกับนกตัวนี้กันเถอะท่านขุนพล”

พระราชาทรงพบ นกบุปผกะ ผู้เป็นที่มาของเสียงที่ไพเราะ

       พระเจ้าปัญจาละประทับใจในวาจาและกิริยาของนกแขกเต้าตัวใหม่นี้ ทรงดำเนินไปสนทนาด้วยอย่างรักใคร่ “เจ้านกเอ๋ย คนเลี้ยงดูเจ้าเป็นใคร ผู้อบรมสั่งสอนเป็นใคร ยังมีสิ่งใดเจรจาให้เรารื่นเริงอีกหรือไม่”

นกบุปผกะเชื้อเชิญพระราชาให้ประทับในที่อันควร

       “มหาบพิตรข้าน้อยนะ ชื่อว่าบุปผกะ เป็นบุตรพระดาบสซึ่งบัดนี้ออกไปหาผลไม้ในป่า ความรื่นเริงมีถวายก็แต่ทางจิตใจพระเจ้าค่ะ” บุปผกะเชื้อเชิญพระราชาให้ประทับในที่อันควรเพื่อรอขอพรจากพระดาบสซึ่งกำลังกลับมา

พระราชาทรงอิ่มเอมพระทัยในธรรมะที่ได้รับฟังยิ่งนัก

       ระหว่างนี้นกแขกเต้าที่ถูกเลี้ยงโดยนักบวชบัณฑิตก็ถวายธรรมข้ออานิสงส์จากการทำทานรักษาศีล เจริญภาวนาด้วยวาทะไพเราะ พระราชาก็อิ่มเอมพระทัยจนย่ำเย็น “ไม่น่าเชื่อว่าการที่เรามาคุยกับเจ้าที่เป็นแค่นก จะทำให้เราสบายใจได้มากขนาดนี้”

พระราชาได้ถวายสัตย์ต่อฤาษีว่าจะเลิกล่าสัตว์และจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม

       เมื่อพระฤาษีกลับมา ก็ถวายพระพรให้พระเจ้าปัญจาละเจริญในทศพิราชธรรม พระราชานักล่ากวางดื่มด่ำในธรรมรสนั้น จึงถวายสัตย์ต่อท่านผู้ทรงศีล ว่าจะเลิกล่าสัตว์ตัดชีวิตและจะจัดการให้อุตตระปัญจาละกลายเป็นแผ่นดินธรรมอันร่มเย็น

ฤาษีถวายนกแขกเต้า บุปผกะ แก่พระราชา

       “ถวายพระพร จงทรงพระเจริญเถิดมหาบพิตร” พระฤาษีถวายนกแขกเต้าบุปผกะแก่พระราชาเป็นสิ่งเตือนใจในมงคลชีวิตข้อสำคัญข้อหนึ่ง คือการคบบัณฑิตนำสุขมาให้ “ดังเช่นนกแขกเต้าตัวผู้น้องถูกลมพัดไปอยู่กับโจร ย่อมมีกิริยาและความคิดติดไปทางร้าย ดั่งที่มหาบพิตรประสบมานั่นแหละ”

พระเจ้าปัญจาละทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม บ้านเมืองรุ่งเรืองประชาชนเป็นสุข

       เมื่อพระเจ้าปัญจาละเสด็จกลับมาถึงพระนครก็โปรดให้ออกพระราชกฤษฎีกาห้ามฆ่าห้ามขังสัตว์ทุกชนิด ทรงทำนุบำรุงให้ความรู้การศึกษาแก่พลเมืองเป็นภูมิคุ้มกันความชั่ว รู้จักความชั่ว และไม่เกลือกกลั้วคบหาคนชั่ว อุตตระปัญจาละก็เจริญรุ่งเรือง ประชาชนเป็นสุขตลอดอายุขัยของพระองค์


พุทธกาลต่อมานกแขกเต้าบุปผกะ กำเนิดเป็น ภิกษุ
นกแขกเต้าสัตติคุมพะ กำเนิดเป็น ภิกษุผู้หลงเชื่อเทวทัต
หัวหน้าโจร กำเนิดเป็น พระเทวทัต
พระฤาษี เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า



ที่มา - http://www.dmc.tv